เติมความหวังด้วยหัวใจ
ทุกสรรพสิ่งในโลกที่เกิดมาย่อมมีการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
แต่ละชีวิตย่อมดำเนินตามแบบฉบับของตนเอง
ซึ่งในการดำเนินชีวิตก็เปรียบเสมือนเหรียญทั่วๆไป ที่มีทั้งสองด้านคือ
ด้านที่สมหวังและผิดหวัง แต่กว่าจะยืนหยัดและทรงเหรียญไว้ตรงกลางโดยไม่พลิกไปด้านใดด้านหนึ่งนั้นมันก็ยากพอดู
อีกอย่างก็เปรียบเสมือนกับดอกบัวที่กว่าจะโผล่พ้นน้ำมาได้นั้นก็ต้องผ่านทั้ง ตอไม้
ทั้งโคลนตม
ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงกว่าจะโผล่ขึ้นมาได้แต่เมื่อโผล่ขึ้นมาแล้วก็กลับไม่มีเศษตมติดมาเลย
มันก็เหมือนกับชีวิตคนเรากว่าจะประสบผลสำเร็จได้นั้นต้องพบเจอปัญหาและอุปสรรคมากมายมาขวางกั้นเพื่อเป็นบทพิสูจน์แห่งชีวิตว่าเราจะฝ่าฝันไปได้ไหม
และดิฉันคิดว่าเปรียบเหมือนกำไรของชีวิตที่ได้พบเจอทั้งสองรสชาติคือสุขสมหวังและผิดหวังที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาทดสอบในชีวิตของเรา
แต่ดิฉันอยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า
ปัญหาทุกอย่างมันไม่ใช่จุดจบ มันมีเริ่มก็ต้องมีแก้ไขปรับปรุง
มันอยู่ที่ว่าเราจะเผชิญกับมันแบบไหนจะรับมือกับมันรูปแบบใดและเข้มแข็งพอที่จะมีพลังลุกขึ้นใหม่อีกครั้งได้หรือไม่
แต่ดิฉันเชื่อว่าทุกคนทำได้ขอให้เรามีหัวใจที่แน่วแน่อย่ากลัวที่จะต้องพบเจอ ให้คิดเสียว่าถ้าเราพบเจอกับปัญหา
อุปสรรคและหกล้มในวันนี้มันจะเป็นประสบการณ์และบทเรียนชีวิตที่คอยย้ำเตือนว่าเราอย่าเดินไปทางนี้อีก
ซึ่งบางครั้งชีวิตคนเรานั้นอาจไม่ได้สวยหรูอย่างที่เราคิด
ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปอาจจะพบเจอกับขวากหนามที่ขวางกั้นเอาไว้จนทำให้เราหกล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าพบเจอแต่ความผิดพลาดและผิดหวังในชีวิต
แต่เราก็อย่าเพิ่งท้อแท้หรือสิ้นหวังนะ เพราะคนเราจะผิดพลาด ผิดหวัง
จะทุกข์หรือสุขนั้นอยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนดไม่มีเรื่องใดที่เกิดขึ้นมาแล้วจะแก้ไขไม่ได้
ขอเพียงเราให้กำลังใจกับตนเองเพราะปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้นว่าเราจะแก้ไขได้ไหม
จริงอยู่เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขในอดีตได้แต่เราก็สามารถทำอนาคตให้ดีได้
อย่าให้ความผิดพลาด ผิดหวัง
และปัญหาในอดีตเป็นเสมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเราอยู่ตลอดเวลา
แต่ถ้าชีวิตจะยังจมอยู่กับความผิดพลาด เศร้าใจ ก็จงเศร้าให้ถึงที่สุด
จงเสียใจให้พอ หากยังร้องไห้ก็ให้ระบายน้ำตาออกมาให้หมด
เมื่อเสียใจจนถึงที่สุดแล้ว
ก็ถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่เสียที
และใช้บทเรียนจากอดีตเป็นเหมือนเข็มทิศคอยบอกทางแก่ชีวิต
เพราะความเศร้านั้นมันก็มีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวของมันเอง
ข้อเสียคือทำให้เราเศร้าโศกเสียใจ แต่ข้อดีคือ
สอนให้เรารู้ว่าเราจะไม่ทำผิดพลาดอีก เราจะไม่ร้องไห้หรือมานั่งเสียใจกับมันอีก และอย่าปิดกั้นตัวเองแล้วจมอยู่กับอดีตอยู่กับความคิดที่ว่าชีวิตนี้เริ่มใหม่ไม่ได้อีกแล้ว
เพราะชีวิตคนเรานั้นมีค่ามาก เราสามารถหยุดคิด
หรือหยุดพักได้เวลาเราเหนื่อยเราท้อแต่เราไม่ควรจะหยุดเดิน ลองมองดูนาฬิกาสิ
รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้ต้องเดินซ้ำไปซ้ำมาวนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่มีสินสุดแต่มันก็ไม่เคยหยุดเดินยังคอยแต่จะทำหน้าที่
และย้ำเตือนเราว่าหากเวลานี้เดินผ่านไปแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้วนะ
มันจะไม่มีคำว่าเมื่อวานเมื่อมาถึงวันนี้ แต่มันจะมีคำว่าวันนี้และอนาคตเท่านั้น
ฉะนั้นเมื่อเราเคยเดินทางผิดพลาดมาสักกี่ครั้งเราก็ต้องลุกขึ้นยืนและเดินใหม่อีกครั้งให้ได้
อย่าคิดว่าเมื่อเราล้มเหลวแล้วจะไม่เหลืออะไร ชีวิตนี้ต้องเป็นศูนย์ทันที เพราะเราสามารถนับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดจะนับซะอย่าง
อย่ามัวที่จะยืนมองดูแต่ข้างหลังของตัวเองแต่จงมองไปข้างหน้า
แล้วเราจะพบเจออะไรอีกตั้งมากมายทั้งประสบการณ์ใหม่และอนาคตมีไว้ให้เราลิ้มลองและท้าทายให้เราเดินไปหามันเสมอ
ขอเพียงวันนี้เรากล้าที่จะเผชิญก็พอ และจงจำไว้ว่า “ความสำเร็จที่ผ่านการล้มเหลวย่อมหอมหวานกว่าเดิม”
สุดท้ายนี้ดิฉันอยากจะบอกว่าการล้มเหลว
การผิดหวัง
เป็นสิ่งปกติที่ทุกคนจะต้องพบเจอในทุกๆเรื่องของชีวิตอยู่ที่ว่าเมื่อเราเจอแล้วจะรับมือและแก้ไขกับมันยังไง
เชื่อเถอะว่าถ้าเราไม่เคยผิดพลาดหรือหกล้มมาก่อนเราก็จะลุกไม่เป็น
ถ้าไม่เคยเสียใจก็จะไม่รู้จักกับคำว่าเข้มแข็ง แต่ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะ “ล้ม”
มาสักกี่ครั้ง ผิดหวังมาสักกี่หน เราก็ต้องลุกขึ้นยืนให้ได้
แล้วสักวันเราก็จะเจอกับความสุข เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “บทเรียนชีวิตที่ดีที่สุด ล้วนได้มาจากความผิดพลาด
ล้มเหลว ของตนเอง
ความโง่เขลาเบาปัญญาและความผิดพลาดในอดีตจะกลายเป็นสติปัญญาและความสำเร็จในอนาคต”
คนเราจะสิ้นหวังไปทำไม
ในเมื่อหัวใจยังเต้นอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น