วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

มรดกอันล้ำค่า ที่ได้ขึ้นชื่อว่า “ภาษาไทย”


มรดกอันล้ำค่า ที่ได้ขึ้นชื่อว่า ภาษาไทย
บนโลกใบนี้ ล้วนมีสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ มากมายที่ทำให้โลกน่าอยู่ ทำให้ผู้คนเกิดความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน รู้สึกสนิทสนมกลมเกลียว และที่สำคัญทำให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเข้าใจกันนั่นคือ ภาษาที่มีความงดงามยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะภาษาเป็นทั้งเอกลักษณ์ วัฒนธรรมและความภูมิใจของคนในแผ่นดิน
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นไทย เป็นมรดกอันล้ำค่าที่บรรพบุรุษสั่งสมสืบทอดมาสู่ลูกหลานเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงว่าชาติไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมที่สูงค่าและยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน ภาษายังเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันเพื่อทำความเข้าใจตรงกัน ซึ่งแต่ละภาษาก็มีระเบียบแบบแผนของตนเองที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน และภาษาก็เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่แสดงถึงให้เห็นถึง วัฒนธรรมด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปกรรม ซึ่งเจริญมาตั่งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ที่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความเป็นไทย จึงนับได้ว่าภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้คนทั้งชาติเข้าใจกันจนเกิดความรัก ความสามัคคีกัน และไม่มีสิ่งใดมาบั่นทอนความเป็นชาติเดียวกัน แต่หากไม่มีภาษามนุษย์ก็คงไม่สามารถสื่อสารกันได้ตลอดจนการถ่ายทอดวิชาความรู้จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้และไม่อาจที่จะพัฒนาหรือดำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติภาษาจึงเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมและของประเทศที่เราควรจะหวงแหนและรักษาไว้ยิ่งชีพเพราะถือว่าเป็นมรดกที่ทรงคุณค่ายิ่งของแต่ละชาติ
แต่ในยุคปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าละพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจึงทำให้เกิดเทคนิคใหม่ๆในการติดต่อสื่อสารกันซึ่งจะเน้นความสะดวกรวดเร็ว จึงทำให้ภาษาที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารได้รับผลกระทบจากอิทธิพลความเจริญก้าวหน้าดังกล่าวทำให้คนไทยในปัจจุบันจำนวนไม่น้อย ที่ใช้หรือพูดภาษาไทยในทางที่ผิด บ้างก็ไม่รู้พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ในภาษาไทย หรือไม่ก็เขียนผิด อ่านผิด และฟังผิดจนเกิดปัญหาการสื่อสารและ
เข้าใจความหมายในทางที่ผิด จนเป็นสาเหตุให้เสน่ห์ของภาษาไทยลดน้อยลงและค่อยๆเลือนหายไป ยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้จะเห็นได้ว่ามีการใช้ภาษาไทยไปในทางที่ผิดเยอะมาก ซึ่งกลุ่มคนหรือสาเหตุนั้นส่วนใหญ่จะมาจากวัยรุ่น ที่มักใช้ภาษาอย่างไม่เหมาะสม จนบางครั้งเกิดเป็น ภาษาวิบัติที่วัยรุ่นนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในโลกของอินเตอร์เน็ต จนเดี๋ยวนี้ได้กลายเป็นภาษาทางกายที่วัยรุ่นนิยมใช้กันแล้ว เช่น คำว่า ตัวเอง เป็น ตะเอง เธอ เป็น เทอ หนู เป็น นู๋ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคำอีกจำนวนมากที่วัยรุ่นนิยมใช้กันและยิ่งนับวันขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาเหล่านี้ทุกคนในสังคมยังคงปล่อยปะละเลยไม่รีบเร่งหาทางแก้ไข ที่ร้ายแรงกว่านั้นยังคงมีการใช้บ่อยๆจนเกิดเป็นความเคยชิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหวั่นเกรงยิ่งนักทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่เป็นการทำลายเอกลักษณ์และความเป็นไทยให้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
            แต่อย่างไรก็ตามหาก วันนี้  ณ ตรงนี้ เราทุกคนทุกฝ่ายช่วยกันกระตุ้นและปลูกจิตสำนึกของคนไทยให้หันมาตระหนักถึงความสำคัญและเห็นถึงคุณค่าของภาษาไทย เพราะถือได้ว่าคนไทยเป็นชาติที่โชคดีนักที่ภาษาเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและผูกพันคนในชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉะนั้นแล้วเราควรร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ ภาษาไทย ที่เป็นมรดก เอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้สืบทอดต่อไปยังอนุชนรุ่นหลังอย่างถูกต้อง งดงามและคงอยู่คู่ชาติไทยต่อไป



วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เลือกเิกิดไม่ได้


บ่วงรัก



ตัวอย่างคำคมดีจากละครเรื่องบ่วง
"สติปัญญาที่แท้ จะเกิดขึ้นเมื่อจิตประภัสสร จิตที่สว่างด้วยปัญญา จะเกิดขึ้นเมื่อไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส เมื่อสีกาทั้งสองยังตกอยู่ภายใต้อารมณ์โกรธ สีกาทั้งสองก็ไม่มีวันเจอหุ่นรูปรอย"
สติมาปัญาญาเกิด เมื่อใดที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติ เมื่อชีวิตคุณจะเจออุปสรรค เจอปัญหา ทำสิ่งใดก็ติดขัด คิดไม่ตก เพราะขาดสติ ขาดปัญญา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดได้ ดังนั้นจงอย่าขาดสติ

"รักของแม่ ไม่แค่ประโลมใจ แม่จะเป็นฉัตรแก้วกั้นภัยให้ลูก รักของแม่จะติดตามปกป้องลูกทุกชาติภพ"
ความรักของพ่อแม่นั้นหามีที่เปรียบเทียบได้ ดังนั้น จงอย่าหลงงมงายกับความรักชั่วครู่ชั่วยาม จนลืมความรักของพ่อแม่

"ผีอีแพงแรงฤทธิ์เพราะพิษรัก หวังชนะอุปสรรคเพราะรักเสมอ จึงพลีกายให้ชายหมายปรนเปรอ แม้นเผลอเรอเผลอใจเป็นต้องมนต์ อันบ่วงรักบ่วงกิเลสบ่วงตัณหา อีกทั้งบ่วงมายาพาสับสน ผีอิแพงตกบ่วงรักหนักใจตน จึงพาจิตวุ่นวนทุกชาติไป"
เพราะพิษรักทำให้คนเราลุ่มหลง งมงาย จนไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก เกิดเป็นตัณหาในใจที่ติดตามไปทุกหนแห่งยากที่จะหลุดพ้น

"เวร ย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร ตัดกรรมได้ด้วยการให้อภัย"
การอโหสิกรรมเลิกจองเวรต่อกันให้อภัยกัน เป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์อย่างดีที่สุด

 "ความโกรธ เอาชนะได้ด้วยความเมตตา เมตตาว่า ทั้งเขาทั้งเราก็ต่างทุกข์เหมือนกัน...."
(คนโกรธก็ทุกข์ คนถูกโกรธก็ทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากใจไม่สงบ คิดร้าย ถือเป็นทุกข์ทั้งสิ้น หากอยากจะหมดทุกข์ต้องแลกด้วยความเมตตา หากคิดจะโกรธก็ระงับไว้....จิตใจก็จะสงบสุขหมดทุกข์โดยพลัน)

"ทำทานแก่สัตว์ร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าทำทานแก่มนุษย์แม้เพียงครั้งเดียว
ทำทานแก่มนุษย์ร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าทำทานแก่ผู้มีศีลหรือพระสงฆ์แม้เพียงครั้งเดียว
ทำทานพระสงฆ์ร้อยครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าทำทานกับพระพุทธเจ้าแม้เพียงครั้งเดียว
ทำทานแก่พระพุทธเจ้าร้อยครั้งยังได้บุญไม่เท่าทำสังฆทานแม้เพียงครั้งเดียว"
การทำบุญจะยิ่งใหญ่แค่ไหนไม่อยู่ที่ทำกับใครที่ไหน แต่้อยู่ที่ใจ ใจที่พร้อมจะทำ ใจที่บริสุทธิ์ นั้นคือบุญกุศลที่ยิ่งใหญ๋

"คนหน้าด้านพรากผัวเมียคนอื่น ไม่มีคำว่าละอาย คนอย่างนี้ร่างกายเป็นคนแต่จิดใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ทำตัวเหมือนหมูหมากาไก่เสพไม่เลือก "
การพรากคนรักนั้นถือเป็นสิ่งบาป การไปแย่งชิงเค้ามาก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ เราเป็นคนมีความคิดอย่าได้ทำตัวเยี่ยงสัตว์ที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

"บ่วง....รัมภารำพึงคนเดียว บ่วงที่รัดร้อยชีวิตไว้ด้วยกัน บ่วงที่วนเวียนไม่มีวนจบวันสิ้น บ่วงที่ทำให้หัวใจของเราเติมเต็ม บ่วงที่ทำให้เรามีแรงต่อสู้ บ่วงที่ผลักดันให้เรามีแรงตื่นขึ้นมาทุกวัน บ่วงนี้เอง บางคร้งมันทำให้น้ำตาเราไหลริน ฉันเรียกบ่วงชนิดนี้ว่า...บ่วงแห่งความรัก...."
หากไม่รู้จักปล่อยวางบ้าง นำชีวิตไปผูกไปยึดไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะทำให้ชีวิตเราวงเวียนอยู่กับสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ จนเป็นทุกข์...

ก่อนจะสาย

วันเวลา...ของชีวิตที่เหลืออยู่
         

             ชายหนุ่มวัย 18 คนหนึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง... มะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถเยียวยารักษาให้หายได้อีกแล้ว และก็พร้อมจะจากไปในทุกขณะ เขาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมาตลอด มีคุณแม่เป็นผู้ดูแล แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันอันจำเจซ้ำซาก อยากจะออกไปนอกบ้านสักครั้ง เมื่อรับรู้ความในใจของบุตรชายเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยผู้เป็นมารดาจะไม่โอนอ่อนผ่อนตาม เขาจึงมีโอกาสออกไปเดินเล่นละแวกบ้าน ผ่านร้านค้ามากมาย...จวบจนพบร้านขายซีดีแห่งหนึ่ง เขาก็ต้องหยุดชะงัก จ้องมองเข้าไปในร้านแห่งนั้น..ที่นั่นเขาได้เห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่ง และในทันใดชายหนุ่มก็แจ่มชัดอย่างยิ่งว่าเธอคือรักแรกพบของเขาที่อุบัติขึ้น ณ บัดนั้น เขาเดินเข้าไปข้างในร้าน ขณะสายตาจับจ้องอยู่แต่เธอ กระทั่งมาหยุดยื่ตรงหน้าเธอโดยไม่รู้ตัว "จะให้ฉันช่วยอะไรได้บ้างคะ" เธอเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้ม ช่างเป็นรอยยิ้มที่หวานที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัส มันทำให้เขาอยากประทับริมฝีปากเธอในทันที เขาตอบตะกุกตะกักออกไปว่า "เอ้อ ผมอยากได้ซีดีสักแผ่นครับ" จากนั้นก็ทำทีหันไปเลือกซีดีได้แผ่นหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่เบื้องหน้าเธออีกครั้งเพื่อชำระเงิน "คุณอยากให้ฉันห่อกระดาษด้วยมั้ยคะ" เธอถามพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ด้วยอีกหน เขาพยักหน้า เธอจึงหันหลังไปจัดการให้จนเสร็จเรียบร้อยแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม กลับมาถึงบ้านเขาจัดการเก็บแผ่นซีดีไว้ในตู้ เพราะไม่ได้สนใจบทเพลงในแผ่นซีดีแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาสนใจก็คือคนขายนั่นต่างหาก หลังจากวันนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็แวะเวียนไปที่นั่นเป็นประจำทุกวัน ซื้อซีดีมาวันละแผ่นเสมอ พร้อมกับอนุญาตให้หญิงสาวห่อกระดาษทุกครั้ง รวมทั้งเมื่อกลับมาบ้านก็เก็บมันไว้ในตู้เหมือนที่เคยปฏิบัติมา เขารู้สึกขวยเขินที่จะชวนเธอออกไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งๆที่เบื้องลึกนั้นปรารถนาเหลือเกิน แต่ก็...ไม่กล้าพอ เมื่อคนเป็นแม่รับรู้ในเวลาต่อมาท่านก็คะยั้นคะยอให้ลูกชายทำตามใจปรารถนาของตน รุ่งขึ้นเขาจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมด ไปยังร้านนั้นอีกครั้ง ซื้อซีดีหนึ่งแผ่นเหมือนวันก่อนๆ และระหว่างที่เธอหันหลังให้นั้น เขาก็ตัดสินใจทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนไว้บนโต๊ะก่อนวิ่งออกจากร้านไป สองสามวันต่อมาคุณแม่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ จึงรับสายและพูดว่า "สวัสดีค่ะ" หญิงสาวในร้านขายซีดีนั่นเองที่เป็นผู้โทรมา เมื่อสาวน้อยถามหาคนเป็นลูกชาย ผู้เป็นแม่ก็เริ่มร่ำไห้ แล้วบอกว่า "หนูคงไม่รู้หรอกว่า...เขาเพิ่งจากไปเมื่อวานนี้เอง" ถัดจากนั้นเสียงจากคนถามก็คล้ายจะถูกปลิด คงเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆของผู้เป็นแม่ ในวันนั้นเอง ผู้เป็นแม่ก็เข้าไปในห้องของลูกชายเพื่อหวนระลึกถึงเขาอีกครั้ง... เริ่มด้วยการสัมผัสเสื้อผ้าที่เขาเคยสวมใส่ และทันทีที่เปิดประตูตู้ ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบซีดีที่ยังห่อกระดาษไว้ กองอยู่เต็มไปหมด คุณแม่เลือกหยิบมาแผ่นหนึ่ง นั่งลงบนเตียงและเริ่มแกะออกดู ทันใดนั้นก็มีกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่งหล่นลงมา คุณแม่หยิบมันขึ้นมาอ่าน "สวัสดีค่ะ คุณดูน่ารักจังเลย คิดอยากออกไปเที่ยวกับฉันบ้างรึเปล่า" กระทั่งเธอแกะซีดีแผ่นถัดๆมา ก็ยังพบกระดาษแผ่นเล็กๆ มีข้อความเช่นเดิม... อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง.....อ่านแล้วคิดว่า เวลาของชีวิตแต่ละคนสั้นนัก เพราะฉะนั้น "จงทำในสิ่งที่อยากทำ ทำให้ดีที่สุด ก่อนจะสายเกินไป"

อุ่นไอรักจากแม่

กลอนวันแม่


กลิ่นความรักหอมนวลอวลไออุ่น
มือละมุนเนียนนุ่มอุ้มโอบขวัญ
ทะนุถนอมตระกรองกอดยอดชีวัน
ประครองป้องผองภยันอันตราย
กี่สิบถ้อยร้อยคำรำพันพรอด
ที่ถ่ายทอด "คำรัก" หลากความหมาย
กี่เปรียบเปรยสรรหามาบรรยาย
ฤาเทียบสายใยรักจาก...มารดา
ครั้งที่ลูกยังเป็นเด็ก เล็กเล็กอยู่
แม่คือ "ครู" สอนอ่านเขียนเรียนภาษา
ให้คำเตือน...เสมือนแสงแห่งปัญญา
ให้วิชาคือ "รู้คิด" ที่ติดตน
ยามลูกเหนื่อยอนาทรแสนอ่อนล้า
ต้องการคำปรึกษาหาเหตุผล
แล้วหันมองรอบกาย...คล้ายมืดมน
ยังพบคนหนึ่ง...คือแม่...คอยแลมอง
แม่จ๋า...แม่คือยอดสตรีที่ประเสริฐ
แม่...เลอเลิศหนึ่งในใจไม่เป็นสอง
แม่...สูงค่ากว่าหยาดเพชรเกร็ดสีทอง
เกินยกย่องด้วยล้านคำ...พร่ำพรรณนา
หอมกลิ่นความรักนวลอวลไออุ่น
ระลึกคุณ แม่โอบอุ้มคุ้มเกศา
มือของลูกจึงเรียงร้อยถ้อยวาจา
เป็นมาลาหอม "รัก" กราบจากใจ